
5 วิธีสื่อสารธุรกิจให้ปัง สร้างความสำเร็จด้วยมือถือเครื่องเดียว
เราอยู่ในยุคที่ทุกคนมีโอกาสจับเงินล้าน ยิ่งมีสมาร์ทโฟนมากขึ้น เจ้าของธุรกิจก็ยิ่งมีโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ผ่านการทำตลาดที่เราเรียกกันว่า Mobile Marketing
ข้อมูลล่าสุดบอกว่า ประชากรไทยมี 70 ล้านคน แต่จำนวนมือถือที่ถูกใช้ในประเทศนี้คือ 82.78 ล้านเครื่อง และตัวเลขนี้จะสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อบริษัทในจีนเริ่มทุ่มตลาดสมาร์ทโฟนระดับล่างมากขึ้น
ถ้าไม่อยากพลาดโอกาสร้างยอดขายจากเทรนด์ Mobile Marketing มาดูกันว่า 5 วิธีที่จะช่วยสื่อสารธุรกิจให้ประสบความสำเร็จด้วยมือถือเครื่องเดียว มีอะไรบ้าง
1. เลือกเครื่องมือให้ตรงกับโจทย์ของธุรกิจ
นี่คือโจทย์แรกๆ ที่เจ้าของธุรกิจจะต้องคิด เมื่อเริ่มโปรโมทธุรกิจด้วยตัวเอง เพราะมีโซเชียลมีเดียหลายๆ แบบให้เลือกใช้งานเพื่อสื่อสารธุรกิจ รวมทั้ง LINE@ ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในกลุ่มคนทำธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเจ้าของธุรกิจมีทางเลือกมากขึ้น แต่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ทั้งหมด เพราะแต่ละแพลตฟอร์มก็มีคาแรกเตอร์ และลักษณะของผู้ใช้งานที่แตกต่างกันออกไป
ในกรณีของ LINE@ จะเหมาะกับการเข้าถึงลูกค้าเป็นรายบุคคลเพื่อปิดการขาย หรือกระตุ้นยอดขายเมื่อมีสินค้าใหม่ เพราะข้อมูลล่าสุดจาก We are social บอกว่า 40% ของผู้ใช้สมาร์ทโฟนจะอยู่ที่หน้าจอของแอปแชทมากกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ
ดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกใช้เครื่องมือใดๆ ก็ตามในการสื่อสารธุรกิจ ควรกลับไปดูที่โจทย์ทางการตลาดเป็นหลัก โดยเฉพาะกับธุรกิจในระยะเริ่มต้น เพราะช่วยให้ไม่ต้องเสียทั้งเงินและเวลาไปกับสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
2. ออกแบบคอนเทนต์ให้เป็นมิตรกับหน้าจอมือถือ
เมื่อการสื่อสารธุรกิจเป็นเรื่องง่ายที่ใครๆ ก็สามารถทำได้บนมือถือ ผลที่ตามมาก็คือ การแข่งขันในด้านคอนเทนต์ เพราะธุรกิจหลายๆ รายต่างพยายามช่วงชิงความสนใจของผู้คนบนพื้นที่สี่เหลี่ยมเล็กๆ ซึ่งก็คือหน้าจอสมาร์ทโฟน
ข้อมูลล่าสุดจาก Internet Bureau Advertising UK ยืนยันว่า มูลค่าการโฆษณาผ่านมือถือคิดเป็น 56% ของการโฆษณาในช่องทางดิจิทัลทั้งหมด นั่นคือเหตุผลที่ทำให้หน้าจอของเราถูกถล่มด้วยคอนเทนต์ในหลายๆ รูปแบบ
ที่สำคัญก็คือ การต่อสู้เพื่อช่วงชิงความสนใจบนหน้าจอสี่เหลี่ยมไม่ได้จำกัดเฉพาะคอนเทนต์จากธุรกิจคู่แข่งเท่านั้น ยังมี Notification ของแอปพลิเคชันอื่นๆ ที่จะโผล่มาดึงความสนใจของลูกค้าได้ตลอดเวลา
สิ่งที่เจ้าของธุรกิจต้องคิดก็คือ “ทำอย่างไรให้ผู้ชมหยุดนิ้วโป้งไว้ที่คอนเทนต์ของเรา”
นอกเหนือไปจากความโดดเด่นสะดุดตา คอนเทนต์ก็ควรจะสั้น กระชับ ได้ใจความ เหมาะสำหรับการอ่านหรือรับชมบนพื้นที่สี่เหลี่ยมเล็กๆ อย่างหน้าจอมือถือ และต้องสามารถสื่อสารไอเดียของธุรกิจได้จนจบ
ทุกวันนี้มีเครื่องมือช่วยสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ดังกล่าวให้เลือกใช้งาน ยกตัวอย่างเช่น ฟีเจอร์ Rich message ใน LINE@ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้เจ้าของธุรกิจฝังลิงก์ลงไปในรูปสวยๆ แล้วส่งไปถึงลูกค้าบนหน้าจอแชท เพื่อให้พวกเขาสามารถติดตามต่อไปได้จนถึงปลายทางเพื่อสั่งซื้อสินค้า
การเลือกใช้ภาพประกอบที่น่าสนใจชวนคลิก การแบ่งวรรคตอนของบทความให้อ่านง่าย การใช้อีโมติคอนน่ารักๆ มาประกอบ รวมไปถึงการทำวิดีโอสั้นๆ ที่เล่าเรื่องน่าสนใจ สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้คอนเทนต์เป็นมิตรกับหน้าจอมือถือมากขึ้น และแน่นอนว่ามันคือโอกาสในการสร้างยอดขาย
3. “แชท” จุดเริ่มต้นของ Loyalty ในระยะยาว
เมื่อธุรกิจไม่ได้ต้องการแค่ยอดขาย แต่หวังไปถึงการสร้าง Loyalty เพื่อทำกำไรในระยะยาว สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อลูกค้าให้ความไว้วางใจ
เช่นเดียวกันกับที่งานวิจัยด้านการตลาดหลายๆ ชิ้นพูดตรงกันว่า คนรู้จัก เพื่อน และคนในครอบครัว มีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าและบริการ เพราะคนเหล่านี้ “ไว้ใจได้” ในสายตาของลูกค้า
ปฏิเสธไม่ได้ว่า “มือถือ” คือตัวกลางที่ทำให้การสร้างความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกับลูกค้าเป็นไปได้ง่ายขึ้น และนั่นคือหัวใจสำคัญของการตลาดผ่านมือถือ
การสื่อสารธุรกิจในยุคนี้จะต้องมีลักษณะ “ทุกที่ ทุกเวลา” เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่เกิดขึ้นได้ “ทุกที่ ทุกเวลา” ตราบใดที่พวกเขายังออนไลน์ได้ด้วยสมาร์ทโฟน
คำถามที่ตามมาคือ ธุรกิจจะสร้างความไว้วางใจได้อย่างไร? วิธีที่ดีที่สุดแบบไม่ต้องลองผิดลองถูกด้วยตัวเองก็คือ ศึกษาจากคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว
คุณโอ๋ เจ้าของธุรกิจเจคิวปูม้านึ่ง Delivery (@JQPUUMANUNG) เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างคนซื้อกับคนขายเป็นสิ่งที่เทคโนโลยีไม่สามารถทดแทนได้
ด้วยแนวคิดนี้ ทำให้แอดมิน LINE@ ทั้ง 19 คนของเจคิวปูม้านึ่ง Delivery ต้องเตรียมสแตนด์บายเสมอสำหรับการแชทกับลูกค้า เพราะจากประสบการณ์ของคุณโอ๋ เธอยืนยันว่า การเข้ามาสอบถามของลูกค้าผ่านหน้าจอแชท มีโอกาสกลายเป็นยอดขายถึง 80% หลังจากที่ยิงโปรโมชั่นผ่านการบรอดคาสต์บน LINE@
ธุรกิจที่น่าจะเห็นประโยชน์จากการแชทมากที่สุดน่าจะเป็นธุรกิจบริการ ขอยกตัวอย่าง “Lovely Satun Travel” (@lovelysatuntravel) ธุรกิจการท่องเที่ยวที่สร้างความรู้สึกพิเศษให้กับลูกค้าผ่านการแชท ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยอย่างเป็นกันเองกับลูกค้าใหม่ และการย้อนไปอ่านแชทเก่าๆ เพื่อนำเสนอสิ่งที่ตรงกับความชอบของลูกค้าที่เคยใช้บริการกันมาแล้ว
ดังนั้น นอกจากเตรียมช่องทางให้ลูกค้าเข้าถึงธุรกิจได้ง่ายแล้ว ที่จะขาดไปไม่ได้เลยก็คือ “คน” เพราะจะเป็นด่านแรกที่สร้างความประทับใจให้กับลูกค้า และจะกลายเป็นความไว้วางใจที่ทำให้เกิดการซื้อซ้ำ
4. มีตัวตนบนโลกออนไลน์อยู่เสมอ
ธุรกิจที่จะเติบโตได้อย่างยั่งยืน ควรจะอยู่ในสายตาของลูกค้าอยู่เสมอ ไม่ใช่เฉพาะตอนที่ต้องการจะขาย เพราะหัวใจสำคัญคือ “ความสม่ำเสมอ”
จากพฤติกรรมของผู้คนในยุคดิจิทัล พวกเขาใช้เวลาบนหน้าจอมือถือมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะสิ่งที่น่าสนใจและตรงกับความต้องการอยู่ในนั้น นี่คือโอกาสที่ธุรกิจจะพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสายตาของลูกค้า
เพราะความต้องการซื้อเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา การถูกเห็นบ่อยๆ จะทำให้ลูกค้านึกออกว่า “ใคร” เป็นคนขายสินค้าเหล่านั้นทันทีที่เกิดความต้องการซื้อ
อย่างที่รู้กันว่าโลกออนไลน์เต็มไปด้วยข้อมูลจำนวนมากจากธุรกิจ โดยที่ทุกธุรกิจมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือเงินในกระเป๋าลูกค้าที่มีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้น ธุรกิจที่ผ่านหูผ่านตาบ่อยๆ ก็จะได้เปรียบ ยิ่งลูกค้าเห็นบ่อย ก็จะยิ่งมีโอกาสทำยอดขายได้ง่ายขึ้น
วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ การโพสต์บนไทม์ไลน์อย่างสม่ำเสมอ โดยที่คอนเทนต์อาจจะเป็นเรื่องทั่วๆ ไปที่คนสนใจกันในขณะนั้น หรือเป็นคอนเทนต์ที่ช่วยสร้างสีสันให้กับไทม์ไลน์ เป้าหมายของการสื่อสารในลักษณะนี้ก็เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามามีส่วนร่วมกับธุรกิจในช่องทางดิจิทัล ซึ่งจะนำไปสู่การขายได้ในวันใดวันหนึ่ง
การสื่อสารธุรกิจในยุคดิจิทัลไม่จำเป็นต้องมี “ยอดขาย” เป็นเป้าหมายไปซะทุกครั้ง เพราะสิ่งที่ธุรกิจต้องมีเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน คือ “ความคุ้นเคย” ที่จะเกิดจากการเห็นบ่อยๆ เข้ามามีปฏิสัมพันธ์ด้วยบ่อยๆ นั่นเอง
5. จบทุกขั้นตอนการขายให้ได้ในแอปเดียว
ความได้เปรียบของการตลาดผ่านมือถือก็คือ กระบวนการตั้งแต่ส่งโปรโมชั่นออกไปหาลูกค้า จนถึงรับคำสั่งซื้อ สามารถเกิดขึ้นได้บนหน้าจอสี่เหลี่ยมเล็กๆ ในมือทุกคน เรียกว่าจบทุกขั้นตอนด้วยมือถือเครื่องเดียว
ความต้องการของผู้บริโภคเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา แต่ก็อย่าลืมว่าเรายังมีช่องว่างระหว่างการเห็นสินค้า การตัดสินใจซื้อ การส่งคำสั่งซื้อ และการจ่ายเงิน ซึ่งช่องว่างตรงนี้เองที่ทำให้หลายๆ ธุรกิจพลาดโอกาสทำยอดขาย
ลองนึกดูว่ากว่าที่ลูกค้าหนึ่งคนต้องผ่านกระบวนการอะไรบ้างก่อนจะไปถึงขั้นตอนการตัดสินใจซื้อสินค้า และจ่ายเงิน
เริ่มตั้งแต่การเห็น รู้สึกสนใจ อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม และตัดสินใจซื้อ ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นบนสื่อที่หลากหลาย ผสมผสานกันทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ยิ่งมีช่องว่างมากก็ยิ่งมีโอกาสหลุดมาก
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีของการทำการตลาดผ่านมือถือ มาถึงจุดที่เจ้าของธุรกิจสามารถจบทุกขั้นตอนด้วยแอปพลิเคชันเดียว เริ่มตั้งแต่ส่งโปรโมชั่นออกไปหาลูกค้า สร้าง Touchpoint ให้ลูกค้าเข้าถึงธุรกิจได้ง่ายขึ้น ไปจนถึงรับคำสั่งซื้อ
ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจที่ใช้ LINE@ สามารถยิงโปรโมชั่นออกไปหากลุ่มเป้าหมายด้วยการบรอดคาสต์บน LINE@ เมื่อพวกเขาสนใจก็แชทเข้ามาสอบถามได้ทันที และรับคำสั่งซื้อได้บนหน้าจอเดียวกัน
โอกาสที่ธุรกิจจะปิดยอดขายจากโปรโมชั่นในแต่ละครั้งก็มีมากขึ้น เพราะลูกค้าไม่จำเป็นต้องออกจากแอปพลิเคชันเลย ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการสั่งซื้อ รวมถึงแจ้งการชำระเงินด้วย
หรือพูดในอีกทางหนึ่งก็คือ ธุรกิจควรสื่อสารกับลูกค้าในช่องทางที่พร้อมสำหรับการตัดสินใจซื้อ และรับคำสั่งซื้อ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเสียโอกาสในการขายนั่นเอง
สำหรับใครก็ตามที่กำลังจะเริ่มต้นทำธุรกิจ หรือเริ่มไปแล้ว สามารถนำทั้ง 5 ข้อนี้ไปใช้เป็นแนวทางในการสื่อสารธุรกิจได้ เพราะสามารถทำตามได้ง่ายๆ แค่มีไอเดียกับมือถือเครื่องเดียว
1,623 total views, 4 views today